๑๒๐ วัน วาระพืชกระท่อม เปลี่ยนชายแดนใต้ จากสมรภูมิปราบปรามสู่พลังการมีส่วนร่วมของสังคม

เผยแพร่เมื่อ ๑๖/๐๙/๒๐๒๕ ๑๓:๔๖

๑๒๐ วัน วาระพืชกระท่อม เปลี่ยนชายแดนใต้ จากสมรภูมิปราบปรามสู่พลังการมีส่วนร่วมของสังคม

๑๒๐ วัน วาระพืชกระท่อม เปลี่ยนชายแดนใต้ จากสมรภูมิปราบปรามสู่พลังการมีส่วนร่วมของสังคม

นโยบาย ๑๒๐ วัน วาระพืชกระท่อม ได้สร้างมิติใหม่ในการแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ จากแนวทางที่เคยเน้นการปราบปราม ได้ถูกเปลี่ยนเป็นการบูรณาการงานในทุกมิติ โดยมี การมีส่วนร่วม ของทุกภาคส่วนเป็นหัวใจสำคัญ และมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน ทั้งในระดับ ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ

นโยบายนี้ได้ปลุกพลังชุมชนผ่าน ธรรมนูญหมู่บ้าน ๙ ดี และ ฮูกมปากัต (กฎชุมชน) เพื่อให้ชาวบ้านประกาศจุดยืนร่วมกันในการต่อต้านพืชกระท่อม ทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่ผู้นำและประชาชนร่วมกันโค่นและเผาทำลายต้นกระท่อมในหลายพื้นที่ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความตระหนักรู้ที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน

นอกจากนี้ยังมีการใช้หลักคำสอนทางศาสนาเป็นเครื่องมือในการสร้างความเข้าใจ โดยอธิบายว่ากระท่อมคือสิ่งต้องห้าม (ฮารอม) ในศาสนาอิสลาม ซึ่งเป็นแนวทางที่เข้าถึงและมีอิทธิพลต่อความเชื่อของคนในพื้นที่เป็นอย่างยิ่ง ควบคู่ไปกับการขับเคลื่อนผ่านสถานศึกษาด้วยกิจกรรมที่สร้างสรรค์ เช่น ดรุณเกมส์, SVC เกมส์, การประกวดทำคลิปสั้น, และการโต้วาที ภายใต้ความร่วมมือของ ๒๕ สถาบัน และ ๒๐๐ ชุมชน เพื่อดึงเยาวชนให้ห่างไกลจากยาเสพติด

เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ตำรวจ และกำลังจิตอาสา ได้บูรณาการกำลังกันอย่างเข้มข้น ทั้งการตั้งด่านตรวจบนถนนสายหลัก การเปิดปฏิบัติการ สัปดาห์สีแดง และ No Drugs No Dealers เพื่อกวาดล้างและจับกุมผู้ค้า ซึ่งส่งผลให้ตัวเลขคดีลดลงและร้านค้าตามริมถนนหายไปในหลายพื้นที่

ขณะเดียวกันรัฐบาลโดยกระทรวงยุติธรรมและกระทรวงสาธารณสุขได้ประกาศกฎกระทรวงเพื่อควบคุมการขายกระท่อมให้เข้มงวดขึ้น (ห้ามขายใกล้สถานศึกษา ห้ามเร่ขาย) และเตรียมมาตรการคุ้มครองเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ซึ่งจะทำให้การบังคับใช้กฎหมายมีประสิทธิภาพมากขึ้น

มีการจัดตั้ง ศูนย์พักคอยมินิธัญญารักษ์ ในหลายพื้นที่ เพื่อเป็นศูนย์บำบัดและฟื้นฟูผู้ติดยา โดยใช้แนวคิดที่เน้นการให้โอกาสและฝึกอาชีพเพื่อให้พวกเขากลับคืนสู่สังคมได้อย่างยั่งยืน นอกจากนี้ในเรือนจำยังมีการนำหลักคำสอนทางศาสนามาใช้ในการอบรมผู้ต้องขังคดียาเสพติด เพื่อฟื้นฟูจิตใจและลดโอกาสในการกลับไปกระทำผิดซ้ำ

หลายพื้นที่แสดงให้เห็นถึงการขับเคลื่อนที่โดดเด่น เช่น อ.ยะหริ่ง และ อ.เมือง ใน จ.ปัตตานี ที่ใช้ ธรรมนูญหมู่บ้าน จนการขายกระท่อมหมดไปจากบางพื้นที่ ส่วนใน อ.ยะหา มี ยะหาโมเดล ในการโค่นและเผาทำลายต้นกระท่อมร่วมกัน ขณะที่ อ.กาบัง ใช้ กาบังโมเดล ที่นายอำเภอสามารถกล่อมให้ชาวบ้านยินยอมโค่นต้นกระท่อมด้วยความสมัครใจ

นโยบาย ๑๒๐ วัน วาระพืชกระท่อม เป็นการทดลองเชิงยุทธศาสตร์ที่แสดงให้เห็นว่าการแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้จะสำเร็จได้ ต้องอาศัย พลังสังคม และ ความรู้สึกร่วม เป็นกลไกหลัก โดยภาครัฐทำหน้าที่เป็นผู้สนับสนุนและอำนวยความสะดวก การผสมผสานระหว่างการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวดกับการสร้างความเข้าใจจากภายในชุมชน และการใช้หลักคำสอนทางศาสนา จะเป็นแนวทางที่ยั่งยืนและมีประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาในระยะยาว และทุกปัญหาย่อมขจัดไปได้อย่างถาวร หากทุกคนในพื้นที่มีความรู้สึกร่วมต่อปัญหาและร่วมแก้ไข ความเป็นหนึ่งเดียวกันจะเกิดขึ้น และทุกปัญหาก็ไม่สามารถทำลายสังคมได้