วันที่ 15 กันยายน 2568 เวลา 13.30 นาฬิกา ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 อาคารรัฐสภา (สส.) คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... นำโดย นายวิรัตน์ รักษ์พันธ์ ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญ แถลงข่าวเรื่อง “พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....” โดยกล่าวว่า ตามที่ที่ประชุมวุฒิสภา ครั้งที่ 7 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) ได้ลงมติรับร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญขึ้นเพื่อพิจารณา โดยร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้มีสาระสำคัญ ดังนี้ 1) เพิ่มขอบเขตการใช้บังคับกฎหมายให้ใช้บังคับแก่บุคคลธรรมดาที่ทำงานในลักษณะ จ้างเหมาบริการให้แก่ ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และหน่วยงานของรัฐได้รับค่าตอบแทนในการทำงาน มีวันหยุด วันลา วันและเวลาทำงาน เวลาพักได้ไม่น้อยกว่ากฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน 2) กำหนดวันลาคลอดบุตรไม่เกิน 120 วัน โดยให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างซึ่งเป็นหญิงมีครรภ์ในวันลาเพื่อคลอดบุตรเท่ากับค่าจ้างในวันทำงานตลอดระยะเวลาที่ลาแต่ไม่เกิน 60 วัน 3) สิทธิลาต่อเนื่องเพื่อเลี้ยงดูบุตรได้อีกไม่เกิน 15 วัน กรณีบุตรมีภาวะเจ็บป่วย เสี่ยงต่อโรคแทรกซ้อน มีความผิดปกติ หรือมีภาวะความพิการ โดยให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้าง ซึ่งใช้สิทธิลาต่อเนื่องให้ได้รับค่าจ้างในอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้างสำหรับวันที่ลา และ 4) สิทธิลาเพื่อช่วยเหลือคู่สมรสซึ่งคลอดบุตรได้ไม่เกิน 15 วัน โดยได้รับค่าจ้างจากนายจ้างเท่ากับค่าจ้างในวันทำงานตลอดระยะเวลาที่ลา โดยจากการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ได้ให้ความสำคัญต่อกำลังแรงงานที่เป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ ซึ่งจำเป็นต้องได้รับสิทธิและสวัสดิการต่าง ๆ ที่เหมาะสม ครอบคลุม ทั่วถึง และเท่าเทียม ภายใต้บริบทของสภาพสังคมและเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป โดยรับฟังความคิดเห็นจากภาคส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
.
ทั้งนี้ ที่ประชุมวุฒิสภาลงมติให้ความเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ด้วยคะแนนเสียง เห็นชอบ 125 เสียง ไม่เห็นชอบ ไม่มี งดออกเสียง 5 เสียง ไม่ลงคะแนนเสียง 1 เสียง จากนั้น วุฒิสภาจะได้ส่งร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวไปยังสภาผู้แทนราษฎร เพื่อส่งไปยังคณะรัฐมนตรีดำเนินการตามขั้นตอนในการเสนอทูลเกล้าฯ เพื่อประกาศใช้เป็นกฎหมายต่อไป เมื่อร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวมีผลบังคับใช้เป็นกฎหมายแล้ว หน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน ควรเร่งรัดการจัดทำกฎหมายลำดับรอง และประสานงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปตามเจตนารมณ์และเกิดประสิทธิภาพต่อไป
✍️ ฤทธิรณ ปัญญากาบ สำนักข่าวไทเกอร์นิวส์ รายงาน